ภูมิคุ้มกันทำลายเม็ดเลือดแดงตัวเองในน้องสุนัข(IMHA) , ภาวะอันตรายร้ายแรง ตอนที่ 2
ภูมิคุ้มกันทำลายเม็ดเลือดแดงตัวเองในน้องสุนัข(IMHA) , ภาวะอันตรายร้ายแรง ตอนที่ 2
การจัดการและรักษา : น้องสุนัขที่ได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคนี้ นอกจากรีบจัดการภาวะอันตรายนึ้แล้ว ยังต้องแยกก่อนว่า เกิดจากตัวของน้องสุนัขเองหรือเป็นตามมาจากโรคอื่น ๆ ครับ กรณีเป็นผลตามมาจากโรคอื่น ๆ ต้องรักษาที่สาเหตุของโรคนั้น ควบคู่กับการรักษาตามอาการดังนี้
ถ้ามีเม็ดเลือดแดงต่ำมาก ๆ ก็ต้องพิจารณาถ่ายเลือดให้ โดยอาจให้เฉพาะเม็ดเลือดแดง (packed red cells) หรือเลือดสดก็ได้แล้วแต่กรณี ( แต่ต้องให้ตรงกรุ๊ปเลือด และผ่านการตรวจการเข้ากันได้ของเลือดแล้ว )
น้องสุนัขจะต้องได้รับยาในกลุ่มมีฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน ( immunosuppressive ) ซึ่งมีความสำคัญในการรักษาโรคนี้ โดยการให้ยากี่ชนิด ขึ้นอยู่กับอาการของน้องหมาและการพิจารณาของสัตวแพทย์
นอกจากนี้ยังต้องได้รับยาป้องกันการเกิดลิ่มเลือดที่ตามมาจากภาวะ IMHA นี้ด้วยเสมอ ( ตามการพิจารณาจากสัตวแพทย์)
โดยน้องสุนัขจะต้องได้รับยาต่อเนื่อง โดยจะค่อยๆลดขนาดยาลงเรื่อยๆ ( โดยก่อนการปรับลดขนาดยา จะตรวจเช็คค่าเม็ดเลือดแดงทุกครั้ง ) ซึ่งระยะเวลาในการรักษาจะต้องได้รับยาอย่างน้อย 3-6 เดือน ( หากตอบสนองต่อการรักษาได้ดี )
ซึ่งหากมีการหยุดยา หรือลดขนาดยาเร็วเกินไป อาจทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายกลับมาทำลายเม็ดเลือดแดงอีกได้ หากน้องสุนัขมีการตอบสนองต่อยากดภูมิคุ้มกันไม่ดี คุณหมออาจจะพิจารณาผ่าตัดเอาม้ามออก (splenectomy ) เพื่อลดการทำลายของภูมิคุ้มกันได้เช่นกันครับ
นอกจากนี้หาก IMHA เกิดตามมาจากสาเหตุอื่น ๆ มาเหนี่ยวนำให้เกิดโรค ( Secondary IMHA ) ซึ่งมักเป็นสาเหตุโดยส่วนใหญ่ครับเช่น การติดเชื้อโรคต่าง ๆ ( โรคฉี่หนู , มดลูกอักเสบ ) , การได้รับยาบางชนิด , การได้รับวัคซีนบางชนิด , จากการเกิดเนื้องอกหรือมะเร็ง ( โดยเฉพาะมะเร็งเม็ดเลือดขาว , มะเร็งหลอดเลือด ) , ภาวะตับอ่อนอักเสบอย่างรุนแรง รวมถึงการได้รับพิษจากแมลงและสัตว์กัดต่อย
โดยสาเหตุในเมืองไทยบ้านเรามักมาจากการติดเชื้อโรคพยาธิในเม็ดเลือดจากเห็บ ( E.canis , Babesia , Anaplasma เป็นต้น จึงจำเป็นต้องรักษาโรคที่เกิดร่วมด้วย มิใช่แค่การรักษา IMHA โดยการให้ยากดภูมิคุ้มกัน ( immunosuppressive agents ) เท่านั้น และอาจพบการกลับมาเป็นซ้ำได้ใหม่ ได้หากยังจัดการสาเหตุที่มาเหนี่ยวนำให้เกิดไม่ได้ ดังนั้นแม้สุนัขจะมีอาการดีขึ้นแล้ว ก็ต้องหมั่นตรวจเลือดซ้ำเป็นประจำเพื่อติดตามผลการรักษาครับ